ทำความรู้จักเทคนิคการปลูกผม FUE ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจ พร้อมข้อดีข้อเสียของเทคนิคนี้

การปลูกผม FUE

ปัจจุบันทรงผม หน้าตาและความมั่นใจกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตประจำวัน การมีผมหนาเต็มศีรษะย่อมสร้างความรู้สึกมั่นใจได้มากกว่าผมบางหรือศีรษะล้าน เทคนิคปลูกผมถาวรจึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2025 

เนื่องจากปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน และเส้นผมร่วง เป็นสิ่งที่กวนใจหลายคนทั้งชายและหญิงมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายคนสูญเสียบุคลิกภาพที่ดีไปด้วย 

ซึ่งปัจจุบันหนึ่งในวิธีที่คนให้ความสนใจมากที่สุดคือ เทคนิคปลูกผม FUE (Follicular Unit Extraction) ซึ่งมีข้อดีด้านการลดแผลเป็นและระยะเวลาพักฟื้นที่สั้นลง แต่ก็มีข้อเสียที่เป็นข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ 

ในบทความนี้ เราจึงจะพาคุณมาทำความรู้จักกับเทคนิคการปลูกผม FUE อย่างละเอียด พร้อมข้อดีและข้อเสียที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจปลูกผม FUE ดังนี้ 

เทคนิคการปลูกผม FUE คืออะไร

เทคนิคการปลูกผม FUE คืออะไร?

FUE หรือ Follicular Unit Extraction เป็นเทคนิคการปลูกผมแบบถาวรที่ทันสมัยและได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2025 โดยเทคนิคนี้จะใช้เครื่องมือเจาะขนาดเล็กที่มีความละเอียดสูง เพื่อคัดเลือกรากผมจากบริเวณท้ายทอยหรือด้านข้างของศีรษะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรากผมแข็งแรงและทนต่อการหลุดร่วงตามพันธุกรรม จากนั้นจึงนำรากผมที่ได้ไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ เช่น บริเวณที่ผมบางหรือหัวล้าน

วิธีนี้จะเน้นการดึงรากผมออกมาทีละกอโดยตรง โดยไม่ต้องตัดแถบหนังศีรษะออกมาเหมือนเทคนิค FUT ทำให้เทคนิค FUE ไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่และฟื้นตัวได้เร็วกว่ามาก

ขั้นตอนการปลูกผม FUE อย่างละเอียด

การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE จะมีขั้นตอนที่ละเอียดและเป็นระบบ ดังนี้

  1. การเตรียมตัว: แพทย์จะตรวจสอบสภาพหนังศีรษะและสุขภาพโดยรวมของผู้ที่ต้องการปลูกผม เพื่อวางแผนการปลูกผมอย่างเหมาะสมที่สุด
  2. การให้ยาชาเฉพาะที่: เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บระหว่างขั้นตอน แพทย์จะฉีดยาชาบริเวณที่นำรากผมออก และบริเวณที่จะปลูกผม
  3. การเก็บเกี่ยวรากผม: แพทย์ใช้เครื่องมือที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กประมาณ 0.7-1 มิลลิเมตร เจาะรอบ ๆ กอผมและดึงออกมาทีละกออย่างระมัดระวัง เพื่อให้ได้รากผมที่สมบูรณ์ที่สุด
  4. การคัดแยกรากผม: หลังจากเก็บรากผมออกมาแล้ว ทีมแพทย์จะตรวจสอบคุณภาพของรากผม ก่อนที่จะเตรียมนำไปปลูก
  5. การปลูกผม: แพทย์จะปลูกผมทีละกอลงบนบริเวณที่กำหนดไว้แล้วอย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติ
  6. การดูแลหลังปลูกผม: ผู้รับบริการจะได้รับคำแนะนำในการดูแลหลังการปลูกผม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและป้องกันการติดเชื้อ

ข้อดีของเทคนิคปลูกผม FUE

  • ไม่ทิ้งแผลเป็นใหญ่
    การดึงกราฟต์ผมออกทีละกอด้วย punch tool ขนาดเล็ก (0.6–1.0 มม.) ทำให้แทบไม่มีแผลเป็นแนวยาว เมื่อแผลหายแล้วรอยเจาะจะจางลงจนแทบมองไม่เห็น ต่างจาก FUT ที่ต้องตัดหนังศีรษะแบบแถบใหญ่ ซึ่งอาจสังเกตเห็นรอยแผลได้ง่ายหากไว้ผมสั้น
  • ฟื้นตัวเร็ว
    ขนาดของแผลที่เล็กมากช่วยลดการบอบช้ำของเนื้อเยื่อ หลังทำ FUE ผู้รับบริการสามารถสระผมเบาๆ ได้ภายใน 2–3 วัน และกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 5–7 วัน ไม่ต้องรอเย็บแผลหรือตัดไหม ทำให้สะดวกต่อผู้มีไลฟ์สไตล์เร่งด่วน
  • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
    การปลูกผมทีละกราฟต์ช่วยให้แพทย์ควบคุมมุม ทิศทาง และความลึกของการฝังได้อย่างละเอียด ผมที่ขึ้นใหม่จึงเรียงตัวสวยงามเสมือนผมเดิมที่งอกตามธรรมชาติ ไม่มีแนวผมที่ดู “ปลูกซ้ำ” หรือเป็นแพทเทิร์น
  • เจ็บน้อย
    ขั้นตอนทั้งหมดทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ จึงไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่มีการเย็บแผล ผู้รับบริการจะรู้สึกเพียงแรงกดเล็กน้อยในช่วง extraction และแทบไม่รู้สึกปวดหลังทำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บ
  • ยืดหยุ่นในการออกแบบแนวผม
    แพทย์สามารถเลือกจุดบริจาครากผมและออกแบบแนวไรผมได้ตามโครงหน้าของแต่ละบุคคล ไม่จำกัดพื้นที่ปลูก ช่วยเน้นกรอบหน้าและเติมผมในจุดที่ต้องการได้แม่นยำ

ข้อเสียของเทคนิคปลูกผม FUE

  • ใช้เวลานาน
    เพราะต้องสกัดกราฟต์ผมทีละกอ การปลูกผม FUE ในกรณีที่ต้องการมากกว่า 2,000–3,000 กราฟต์ จะใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อครั้ง อาจต้องแบ่งเป็นหลายวันหรือหลายช่วงการรักษา ซึ่งผู้รับบริการต้องเตรียมตัวและจัดตารางเวลาล่วงหน้า
  • ค่าใช้จ่ายสูง
    กระบวนการที่ละเอียดและใช้เทคโนโลยี punch tool คุณภาพสูง รวมถึงทักษะแพทย์เฉพาะทาง ทำให้ต้นทุนต่อกราฟต์สูงกว่า FUT จึงเหมาะกับผู้ที่พร้อมลงทุนเพื่อแลกกับแผลเป็นน้อยและระยะพักฟื้นสั้น
  • รากผมเสียหายได้ง่าย
    หากทีมแพทย์ขาดประสบการณ์ หรือใช้แรงบิดผิดวิธี ระหว่างการทำอาจทำให้กราฟต์ฉีกขาดหรือเซลล์รากผมเสียหาย โอกาสรอดของกราฟต์จึงลดลง ส่งผลให้ผมขึ้นใหม่ไม่เต็มพื้นที่ตามที่คาดหวัง จึงควรเลือกคลินิกที่มีประวัติและรีวิวชัดเจนเท่านั้น

ภาพรวมเมื่อเทียบกับเทคนิคอื่น

แม้ FUE จะใช้เวลาทำนานและมีต้นทุนสูงกว่า แต่จุดเด่นสำคัญคือ “ความสวยงามหลังทำ” และ “คุณภาพชีวิตระหว่างพักฟื้น” ที่เหนือกว่า FUT อย่างชัดเจน สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับการไม่มีรอยแผลเป็นและอยากกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็ว FUE ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง

ในทางกลับกัน หากคุณต้องการปลูกกราฟต์จำนวนมากในครั้งเดียว และพร้อมรับแลกรอยแผลเป็นแนวยาวเพื่อแลกกับต้นทุนต่อกราฟต์ที่ถูกกว่า FUT อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า แต่สำหรับผู้ที่ต้องการจุดสมดุลระหว่างผลลัพธ์ ความสบายใจเรื่องแผล และการฟื้นตัวเร็ว FUE จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ดีกว่าแน่นอน

แนะนำบริการปลูกผมผู้ชายและผู้หญิง

แนะนำบริการปลูกผมผู้ชายและผู้หญิง

เทคนิคปลูกผม FUE ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปี 2025 เพราะด้วยผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไร้รอยแผลเป็น และการฟื้นตัวที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเลือกสถานบริการที่ได้มาตรฐาน

ที่ DHI Thailand เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผมทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ให้คุณมั่นใจได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นที่พึงพอใจและคืนความมั่นใจให้กับคุณได้อย่างแน่นอน

อย่าปล่อยให้ปัญหาผมบางและหัวล้านลดความมั่นใจในชีวิตคุณ ติดต่อ DHI Thailand วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรีจากผู้เชี่ยวชาญ แล้วคุณจะพบว่าการปลูกผมที่มีคุณภาพสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้อย่างแท้จริง!